เมนู

อรรถกถารถสูตรที่ 2


ในรถสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ .
บทว่า สุขโสมนสฺสพหุโล ความว่า ภิกษุชื่อว่าผู้มากด้วยสุขและ
โสมนัส เพราะภิกษุนั้นมีสุขทางกาย และมีสุขทางใจมาก. บทว่า โยนิ
จสฺส อารทฺธา โหติ
ความว่า และเหตุของภิกษุนั้นบริบูรณ์. ในบท
อาสวานํ ขยา นี้ท่านประสงค์เอาพระอรหัตตมรรคว่าอาสวักขัย. อธิบายว่า
เพื่อประโยชน์แก่พระอรหัตนั้น. บทว่า โอธตปโตโท ได้แก่แส้ที่ขวางขวาง
ไว้กลางรถ บทว่า เยนิจฺฉกํ ได้แก่ปรารถนาไปทางทิศใด บทว่า ยทิจฺฉกํ
ได้แก่ ปรารถนาการไปใดๆ. บทว่า สาเรยฺย แปลว่า พึงส่งไปวิ่งไปข้างหน้า
บทว่า ปจฺจาสาเรยฺย แปลว่า พึงวิ่งกลับ ( ถอยหลัง ) บทว่า อารกฺขาย
แปลว่า เพื่อประโยชน์แก่อันรักษา. บทว่า สญฺญมาย ได้แก่ เพื่อห้าม
ความสลดใจ. บทว่า ทมาย ได้แก่ เพื่อหมดพยศ. บทว่า อุปสมาย
ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การเข้าไปสงบกิเลส.
ในบทว่า เอวเมวโข มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- เหมือนอย่างว่า
เมื่อนายสารถี ผู้ไม่ฉลาด เทียมม้าสินธพที่ไม่ได้ฝึก ขับรถไปตามทางขรุขระ
(ไม่สม่ำเสมอ) แม้ล้อก็ย่อมแตก แม้เขลาและกีบของม้าสินธพ ก็ถึงความ
ย่อยยับกับทั้งตนเอง และไม่สามารถจะให้แล่นไปได้ตามทางไปตามที่ต้อง
การได้ฉันใด ภิกษุผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6 ก็ฉันนั้น ไม่สามารถ
เสวยความยินดีในความสงบตามที่ต้องการได้. ส่วนนายสารถีผู้ฉลาด
เทียมม้าสินธพที่ฝึกแล้ว ให้รถแล่นในพื้นที่เรียบ จับเชือก ตั้งสติไว้
ที่กีบม้าสินธพทั้งหลาย ถือแส้จับให้หมดพยศขับไป ให้มันวิ่งไปตามทาง
ไปที่ตนต้องการ ๆ ฉันใด ภิกษุผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้ง 6 ก็ฉันนั้น

ย่อมเสวยความยินดีในความสงบ ตามที่ตนต้องการ ๆ ในพระศาสนานี้.
ถ้าภิกษุเป็นผู้ประสงค์จะส่งญาณมุ่งตรงต่ออุนิจจานุปัสสนาไซร้ ญาณก็ไป
ตรงทางอนิจจานุปัสสนานั้น แม้ในทุกขานุปัสสนา ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า โภชเน มตฺตญฺญู แปลว่า รู้จักประมาณในโภชนะ.
ในบทว่า รู้จักประมาณนั้น ประมาณมี 2 อย่าง คือประมาณในการรับ
และประมาณในการบริโภค. ใน 2 อย่างนั้น ประมาณในการรับ พึง
ทราบโดยสามารถของทายก พึงทราบโดยสามารถของไทยธรรม พึง
ทราบโดยกำลังของตน. จริงอยู่ ภิกษุเห็นปานนี้ ถ้าไทยธรรมมีมาก
ทายกประสงค์จะให้น้อย ย่อมรับแต่น้อย ไทยธรรมมีน้อย ทายกประสงค์
จะให้มาก ก็รับแต่น้อย ด้วยอำนาจไทยธรรม ทั้งไทยธรรม ก็มีมาก
ทั้งทายกก็ประสงค์จะให้มาก ย่อมรู้กำลังของตน รับโดยประมาณ ภิกษุนั้น
ย่อมทำลาภที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และทำลาภที่เกิดขึ้นแล้วให้มั่นคง เพราะ
ความที่ตนเป็นผู้รู้จักประมาณในการรับนั้น เหมือนสามเณรผู้มีอายุ 7 ขวบ
ในรัชสมัยแห่งพระเจ้าติสสมหาราชผู้ทรงธรรม.
ได้ยินว่า ราชบุรุษทั้งหลายขนงบน้ำอ้อยมา 500 เล่มเกวียนถวาย
แด่พระราชา. พระราชาทรงพระดำริว่า เครื่องบรรณาการ น่าชอบใจ
ไม่ถวายพระผู้เป็นเจ้าก่อน เราจักไม่กิน จึงส่งเกวียน 250 เล่ม ไปยัง
มหาวิหาร ฝ่ายพระองค์เสวยพระกระยาหารเข้าแล้วก็เสด็จไป. เมื่อเขาติ
กลอง ภิกษุ 12,000 รูปประชุมกัน พระราชา ประทับยินอยู่ ณ ส่วน .
ข้างหนึ่ง รับสั่งได้เรียกคนวัดมาตรัสว่า ในการถวายทานของพระราชา
ถวายองค์ละประมาณเต็มบาตรหนึ่ง บรรจุเต็มภาชนะที่ถือมาแล้วจงบอก
ถ้าองค์ไร ๆ มั่นอยู่ในการรับพอประมาณ ก็จะไม่รับ ก็พึงบอกแก่เรา.

ลำดับนั้น พระมหาเถระรูปหนึ่ง ประสงค์จะไหว้ต้นพระมหาโพธิ์
พระมหาเจดีย์ ก็มาจากเจติยบรรพตเข้าไปยังวิหาร เห็นพวกภิกษุถืองบ
น้ำอ้อย ณ ที่มณฑปใหญ่ จึงกล่าวกะสามเณรผู้ตามมาข้างหลังว่า เธอ
ไม่ต้องการงบน้ำอ้อยหรือ. สามเณรตอบว่า ขอรับกระผมไม่ต้องการ.
(พระเถระ) พ่อสามเณร พวกเราเดินทางมาลำบาก ต้องการอาหารเพียง
ผลมะขวิดสักผลหนึ่ง. สามเณรจึงนำภาชนะออกมา แล้วได้วางเรียงไว้ตาม
ลำดับพรรษาของพระเถระ. คนวัดบรรจุเต็มภาชนะที่พอรับ แล้วยกขึ้น.
สามเณรกระดิกนิ้ว. คนวัด กล่าวว่า พ่อสามเณร ในทานของราชสกุล
กำหนดถวายเต็มภาชนะทั้งนั้น โปรดรับภาชนะที่เต็มเถิด. สามเณร
กล่าวว่า อย่างนั้น อุบาสก ธรรมดาพระราชาทั้งหลาย มีพระราชอัธยาศัย
ใหญ่ พระอุปัชฌาย์ของพวกอาตมาต้องการเพียงเท่านี้แหละ. พระราชา
ทรงพึงถ้อยคำของคนวัดนั้นแล้ว ตรัสถามว่า ท่านผู้เจริญ สามเณรพูดอะไร
จึงเสด็จมายิ่งสำนักของสามเณร คนวัดทูลว่า ภาชนะของสามเณรเล็กมาก.
พระราชาตรัสว่า ท่านบรรจุเต็มภาชนะที่ท่านนำมารับไว้เถิดพ่อสามเณร
สามเณรทูลว่า มหาบพิตร ธรรมดาว่า พระราชาทั้งหลาย มีพระราช
อัธยาศัยใหญ่ และมีพระราชประสงค์จะบรรจุเต็มภาชนะที่ยกขึ้นแล้ว จึง
ถวาย แต่อุปัชฌาย์ของอาตมภาพ ต้องการของมีประมาณเท่านี้แหละ
พระราชาทรงพระดำริว่า สามเณรนี้ มีอายุ 7 ขวบ แม้แต่ปากของเธอก็
ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เธอยังไม่กล่าวว่าเราจะรับเต็มหม้อหรือตุ่ม แล้ว
จักฉันทั้งในวันนี้ทั้งในวันพรุ่งนี้ ใคร ๆ ไม่สามารถที่จะรักษาพระศาสนา
ของพระพุทธเจ้าไว้ได้ จึงทรงสั่งราชบุรุษทั้งหลายว่า ท่านผู้เจริญ เรา
เลื่อมใสสามเณรจริง ๆ พวกท่านจงนำเกวียนบรรทุกน้ำอ้ายงบ 250 เล่ม
มาอีกแล้ว ถวายแก่สงฆ์.

ก็พระราชานั้นนั่นแล วันหนึ่งมีพระราชประสงค์จะเสวยเนื้อนก
กระทา จึงทรงพระดำริว่า ถ้าเราประสงค์จะบริโภคเนื้อนกกระทำปิ้งไฟ
จึงทรงดำริว่า ถ้าเราจักบอกแก่คนอื่นว่าเราอยากกินเนื้อนกกระทาปิ้งไฟ
คนทั้งหลายก็จักกระทำฆ่านกกระทา ในที่รอบ ๆ โยชน์หนึ่ง จึงทรง
อดกลั้นบ่วงมาร แม้ที่เกิดขึ้นแล้วทรงยับยั้งถึง 3 ปี. ต่อมาพระราชานั้น
เกิดเป็นน้ำหนวก. ท้าวเธอ เมื่อไม่อาจจะอดกลั้นได้ จึงตรัสถามว่า ใคร ๆ
ที่เป็นอุบาสกผู้อุปัฏฐากเราเป็นคนรักษาศีลมีอยู่บ้างไหม. ราชบุรุษเหล่านั้น
ทูลว่า เทวะ มีอยู่พระเจ้าข้า เขาชื่อว่า ติสสะ รักษาศีลไม่ขาด. ลำดับนั้น
พระราชาประสงค์จะทดลองอุบาสกนั้น จึงรับสั่งให้เรียกตัวมา. อุบาสกนั้น
ก็มาเฝ้ายืนถวายบังคมพระราชา. ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะอุบาสก นั้นว่า
แน่พ่อ ท่านชื่อติสสะหรือ อุบาสกทูลรับว่า พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า
ถ้าอย่างนั้นท่านจงไปได้. เมื่ออุบาสกนั้นไปแล้ว พระราชารับสั่งให้นำไก่
มาตัวหนึ่ง แล้วตรัสสั่งราชบุรุษผู้หนึ่งว่าเจ้าจงไป บอกกะติสสะว่า เธอ
จงปิ้งไก่ให้สุก 3 เวลา และจงให้ปรนนิบัติเรา. ราชบุรุษนั้นได้ไปบอก
อย่างนั้น. อุบาสกนั้น กล่าวว่า ผู้เจริญ ถ้าไก่ตัวนี้พึงเป็นไก่ตายแล้วไซร้
เราจะพึงปิ้งตามที่เรารู้ และปรนนิบัติ ความจริง เราไม่ทำปาณาติบาต
ราชบุรุษนั้นได้ไปทูลแด่พระราชา.
พระราชา ทรงส่งไปสั่งว่า เธอจงไปอีกครั้ง เขาไปบอกว่า ท่าน
ผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่า การปรนนิบัติพระราชา เป็นภาระหนัก ท่านอย่าทำ
อย่างนี้ ศีลท่านสามารถจะสมาทานได้อีก จงปิ้งไก่นั้นเถิด ลำดับนั้น ติสสะ
ได้กล่าวกะบุรุษนั้นว่า ผู้เจริญธรรมดาว่า ในอัตภาพหนึ่ง ความตายมี

หนเดียวแน่นอน เราจักไม่ทำปาณาติบาต ราชบุรุษนั้นได้กราบทูลแด่
พระราชาอีกครั้ง. พระราชาส่งไปเป็นครั้งที่ 3 แล้วรับสั่งให้เรียกอุบาสก
ผู้ไม่รับมาตรัสถามด้วยพระองค์เอง. อุบาสกก็ถวายคำตอบแม้แก่พระ-
ราชาเหมือนอย่างนั้น. ลำดับนั้น พระราชาสั่งราชบุรุษทั้งหลายว่า คน
ผู้นี้ ขัดพระราชโองการ พวกเจ้าจงไป จงวางมันไว้ในซองสำหรับฆ่าคน
แล้วจงตัดศีรษะเสีย แต่ได้ประทานสัญญาในที่ลับแก่ราชบุรุษเหล่านั้นว่า
พวกเจ้าขู่อุบาสกนี้นำไปวางศีรษะของมันไว้ในซองสำหรับฆ่าคน แล้วมา
บอกเรา. ราชบุรุษเหล่านั้น ให้อุบาสกนั้นนอนในซองสำหรับฆ่าคนแล้ว
วางไก่ตัวนั้นไว้ในมือของเขา อุบาสกนั้น วางไก่นั้นไว้ตรงหัวใจแล้ว พูดว่า
พ่อเอ๋ย ข้าไห้ชีวิตของข้าแทนเจ้า ข้าจะคงชีวิตของเจ้าไว้ เจ้าจงปลอดภัย
ไปเถิด ดังนี้แล้วก็ปล่อยไก่ไป ไก่ปรบปีก แล้วก็บินไปทางอากาศแอบอยู่
ที่ต้นไทรย้อย สถานที่ ๆ อุบาสกให้อภัยแก่ไก่นั้น ชื่อ ว่ากุกกุฏคีรี.
พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว รับสั่งให้เรียกอุบาสกบุตรอำมาตย์
มา ทรงประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง ตรัสว่าพ่อเอย เราทดลองเจ้า
เพื่อประโยชน์นี้เอง เมื่อเราประสงค์จะกินเนื้อนกกระทา ล่วงไปถึง 3 ปี
เจ้าจักอาจกระทำเนื้อให้บริสุทธิ์ โดยส่วนสาม แล้วปรนนิบัติเราได้หรือไม่
บุตรอำมาตย์ทูลว่า เทวะ ขึ้นชื่อว่า กรรมนี้เป็นกรรมของข้าพระองค์เอง
ดังนี้แล้ว ออกไปยืนอยู่ที่ระหว่างประตู เห็นบุรุษคนหนึ่ง ถือเอานกกระทา
3 ตัวเข้าไปแต่เช้าตรู่ ให้ทรัพย์ 2 กหาปณะ ซื้อเอานกกระทำชำระให้
สะอาด แล้วอบด้วยผักชีเป็นต้น ปิ้งให้สุกดีที่ถ่านไฟ แล้วปรนนิบัติแก่
พระราชา. พระราชา ประทับนั่งบนบัลลังก์ ( พระแท่น ) อันมีพื้นใหญ่

ถือเอานกกระทำตัวหนึ่ง ตัดหน่อยหนึ่งแล้วใส่เข้าในพระโอษฐ์. ทันใดนั้น
เอง เนื้อนกกระทาได้แผ่ซ่านตลอดเส้นประสาทเครื่องรับรส 17,000 ของ
พระราชานั้น. ในสมัยนั้น พระราชา ทรงระลึกถึงภิกษุสงฆ์ ทรงพระ
ดำริว่า ราชาผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน เช่นเรา ประสงค์จะกินเนื้อนกกระทำ
ยิ่งไม่ได้ถึง 3 ปี ภิกษุสงฆ์ผู้ ไม่ประมาท จักได้แต่ที่ไหน. จึงทรงคาย
เนื้อชิ้นที่ใส่เข้าในพระโอษฐ์ลงที่พื้น บุตรอำมาตย์ คุกเข่าเอาปากรับ.
พระราชา ตรัสว่า หลีกไปเสียพ่อ เรารู้ว่าท่านไม่มีความผิด ด้วยเหตุนี้
เอง เราจึงทิ้งก้อนเนื้อนี้ แล้วจึงตรัสว่า ท่านจงเก็บงำเนื้อนกกระทาที่เหลือ
ไว้อย่างนั้นนั่นแล.
วันรุ่งขึ้น พระเถระผู้เป็นราชกุลุปกะ ( ประจำราชสกุล ) เข้าไป
บิณฑบาต. บุตรอำมาตย์เห็นท่านเข้า จึงรับบาตร ให้เข้าไปในกรุงราชคฤห์.
ภิกษุบวชเมื่อแก่ แม้รูปหนึ่ง ติดตามเข้าไป เหมือนปัจฉาสมณะของพระเถระ
พระเถระสำคัญผิดว่า เป็นภิกษุที่ พระราชา รับสั่งให้เฝ้า แม้บุตรแห่งอำมาตย์
ก็สำคัญผิดไปว่า เป็นอุปัฏฐากของพระเถระ. พวกเจ้าหน้าที่ ให้ท่านนั่งแล้ว
ถวายข้าวยาคูแก่ท่านทั้งสองนั้น. เมื่อท่านดื่มข้าวยาคูแล้ว พระราชาได้
น้อมนกกระทาเข้าไปถวาย. แม้พระเถระก็รับตัวหนึ่ง. ฝ่ายอีกรูปหนึ่ง
ก็รับตัวหนึ่ง. พระราชาทรงพระดำริว่า ยังมีส่วนน้อยอยู่ส่วนหนึ่ง การไม่
บอกเล่าเสียก่อนแล้วเคี้ยวกิน ไม่สมควร ดังนี้แล้ว จึงบอกเล่าพระเถระ.
พระเถระหดมือ. พระเถระแก่ยื่นมือรับ. พระราชา ก็ไม่พอพระทัย จึงรับ
เอาบาตรแล้วตามส่งพระเถระ ผู้เสร็จภัตตกิจไป ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ การที่
ท่านมาสู่เรือนตระกูล พาภิกษุแม้ผู้ศึกษาวัตรแล้วมา จึงควร ขณะนั้น
พระเถระ รู้ว่าภิกษุรูปนี้พระราชามิได้รับสั่งให้เฝ้า.

วันรุ่งขึ้นจึงพาสามเณรผู้อุปัฏฐากเข้าไป. พระราชา เมื่อท่านดื่ม
ยาคูแล้ว แม้ในเวลานั้น ก็น้อมนกกระทาเข้าไป พระเถระได้รับส่วนหนึ่ง.
สามเณรสั่นนิ้วมือ ให้ตัดตรงกลาง รับไว้ส่วนหนึ่งเท่านั้น. พระราชา
น้อมส่วนนั้นเข้าไปถวายพระเถระ พระเถระหดมือ. ฝ่ายสามเณรก็หดมือ
พระราชาประทับนั่ง ตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสวย ตรัสว่า เราอาศัย
ภิกษุผู้ศึกษาวัตรมาแล้ว จึงได้กินนกกระทาหนึ่งส่วนครึ่ง. พอเสวยเนื้อ
นกกระทานั้นเท่านั้น น้ำหนวกก็ไหลออกจากพระกรรณทั้งสองข้าง แต่นั้น
ก็บ้วนพระโอษฐ์แล้วเข้าไปหาสามเณร ตรัสว่า พ่อสามเณร โยมเลื่อมใส
จริง ๆ โยมจะถวายธุวภัตตาหารประจำทั้ง 8 อย่างแด่พ่อสามเณร. สามเณร
ทูลว่า มหาบพิตร อาตมภาพจะถวายแด่พระอุปัชฌาย์. พระราชาตรัสว่า
โยมจะถวายธุวภัตอีก 8. สามเณร ทูลว่า อาตมภาพจะถวายภัตเหล่านั้น
แด่พระเถระปูนอุปัชฌาย์. พระราชาตรัสว่า จะถวายอีก 8. สามเณร
ทูลว่า อาตมภาพจะถวายแด่ภิกษุสงฆ์. พระราชาตรัสว่าจะถวายอีก 8.
สามเณรก็ทูลรับ.
ภิกษุเมื่อรู้จักประมาณในการรับอย่างนี้ จึงทำลาภที่ยังไม่เกิดให้เกิด
ขึ้น ทำลาภที่เกิดขึ้นแล้วให้มั่นคง. นี้ ชื่อว่าประมาณการรับ.
ก็การที่ภิกษุคิดว่า เราจะบริโภคโภชนะ ที่มีอยู่แล้วบริโภคปัจจัย
ตามที่พิจารณาแล้ว ชื่อว่าประมาณในการบริโภค. ประมาณในการบริโภค
นั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้ . ด้วยเหตุนั้น นั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส ดังนี้เป็นต้น. ประมาณในการบริโภคแม้
นอกนี้ ก็ควรเหมือนกัน.

ในบทว่า สีหเสยฺยํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ . ชื่อว่า การนอนมี
4 อย่าง การนอนของผู้บริโภคกาม 1 การนอนของเปรต 1 การนอน.
ของสีหะ การนอนของพระตถาคต 1 ในการนอน 4 อย่างนั้น การนอน
ที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้บริโภคกาม โดยมากย่อมนอนตะแคงซ้าย
นี้ชื่อว่าการนอนของผู้บริโภคกาม. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่าการนอนโดยตะแคง
ข้างขวาของสัตว์ผู้บริโภคกามเหล่านั้น โดยมากไม่มี. การนอนที่ตรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย โดยมากพวกเปรต ย่อมนอนหงาย นี้ ชื่อว่าการนอน
ของเปรต. จริงอยู่ พวกเปรต ชื่อว่า มีร่างกระดูกพันกันยุ่ง เพราะมีเนื้อ
เลือดน้อย ไม่สามารถจะนอนตะแคงได้ จึงนอนหงายเท่านั้น.
การนอนที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย โดยมาก สีหมฤคราช สอดหาง
เข้าไปตามหว่างขา นอนตะแคงข้างขวา แม้นี้ก็ชื่อว่าการนอนของสีหะ
จริงอยู่ สีหราชาแห่งมฤค เพราะตัวมีอำนาจมาก จึงวางเท้าหน้าทั้ง 2
ไว้ข้างหนึ่ง เท้าหลังทั้ง 2 ไว้ข้างหนึ่ง แล้วสอดหางเข้าไปในหว่างขา
กำหนดโอกาสที่ตั้งของเท้าหน้า เท้าหลังและข้าง แล้วนอนวางศีรษะไว้
เหนือเท้าหน้าทั้ง 2. แม้นอนทั้งวันเมื่อตื่นก็ไม่สะดุ้งตื่น. ชะเง้อศีรษะ
กำหนดโอกาสที่เท้าหน้าเป็นต้นตั้งอยู่. ถ้าอะไร ๆ ละเคลื่อนที่ไป ก็จะเสีย
ใจว่า ข้อนี้ไม่ควรแก่ชาติและแก่ความแกล้วกล้าของท่าน จึงนอนลงเสีย
ในที่นั้นนั่นแลอีกไม่ออกไปหาเหยื่อ. แต่เมื่อไม่ละ ตั้งคงที่อยู่ มันก็ร่าเริง
ยินดีว่า นี้สมควรแก่ชาติและแก่ความแกล้วกล้าของท่าน ลุกขึ้นสะบัดกาย
สะบัดสร้อยคอ แผดสีหน้าที่ 3 ครั้ง แล้วออกไปหาเหยื่อ.

ส่วนการนอนในจตุตถฌาน ท่านเรียกว่า การนอนของพระ
ตถาคต. ก็ในการนอนเหล่านั้น การนอนของสีหะมาแล้วในสูตรนี้ .
ก็การนอนของสีหะนี้ เป็นการนอนอย่างสูงสุด เพราะเป็นอิริยาบถของสัตว์
ผู้มีอำนาจมาก.
บทว่า ปาเทน ปาทํ ได้แก่ เท้าซ้ายทับเท้าขวา. บทว่า อจฺจาธาย
แปลว่า เหลื่อมกัน คือ วางเลยไปหน่อยหนึ่ง. จริงอยู่ เมื่อข้อเท้า
กับข้อเท้า หรือเข่ากับเข่าขบกัน เวทนาก็เกิดเนือง ๆ จิตย่อมไม่มีอารมณ์
เป็นอันเดียวนอนก็ไม่ผาสุก. แต่เมื่อวางให้เหลื่อมกัน โดยอาการที่มันไม่
ขบกัน เวทนาก็ไม่เกิด จิตก็มีอารมณ์เป็นอันเดียว นอนก็ผาสุก
เพราะฉะนั้น ราชสีห์จึงนอนอย่างนี้.
บทว่า สโต สมฺปชาโน ความว่า ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ
ถามว่า นอนอย่างไรชื่อเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ แก้ว่า เพราะไม่ละสติ
และสัมปชัญญะ จริงอยู่ภิกษุนี้ ชำระจิตให้หมดจดจากธรรมเป็นเครื่องกั้น
ตลอดวันตลอดยามทั้งสิ้น ลงจากที่จงกรมที่สุดแห่งปฐมยาม แม้ล้างเท้า
ก็ไม่ละมูลกรรมฐานเลย. ไม่ละมูลกรรมฐานนั้น เปิดประตู นั่งบนเตียง
ลงนอนก็ไม่ละ เมื่อตื่นก็ยังถือกรรมฐานแล้วตื่น. ชื่อว่า เป็นผู้มีสติ.
สัมปชัญญะ แม้เมื่อลงนอนหลับอย่างนี้. แต่พระอาจารย์ทั้งหลายไม่บอก
ความข้อนั้นว่า เป็นญาณธาตุ.
ก็ภิกษุนั้น ครั้นชำระจิตให้หมดจดโดยนัยดังกล่าวแล้ว ที่สุดแห่ง
ปฐมยาม คิดว่า เราจะพักผ่อนสรีระที่มีใจครอง ด้วยการหลับนอน
แล้วลงจากที่จงกรม ไม่ละมูลกรรมฐานเลย ล้างเท้า เปิดประตู นั่ง
บนเตียง ไม่ละมูลกรรมฐาน คิดว่า ขันธ์นั้นแลขัดกันในขันธ์ ธาตุนั้นแล

ขัดกันในธาตุ ดังนี้แล้ว พิจารณาเสนาสนะ ไม่จงกรมหลับ เมื่อตื่นก็ถือ
มูลกรรมฐานไว้แล้วตื่น. เมื่อหลับด้วยอาการอย่างนี้ พึงทราบว่า เป็นผู้
มีสติสัมปชัญญะ.
ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสวิปัสสนาอันส่วนเบื้องต้น
อันมีองค์ 3 ด้วยประการฉะนี้. ก็ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ภิกษุยังไม่ถึง
ที่สุด ก็ชุมนุมอินทรีย์ พละ และโพชฌงค์ เหล่านั้นนั่นแล เจริญ
วิปัสสนา บรรลุพระอรหัต. พึงกล่าวเทศนา จนถึงพระอรหัต ดังกล่าวมา.
จบ อรรถกถารถสูตรที่ 2

3. กุมมสูตร


ว่าด้วยการคุ้มครองทวารในอินทรีย์


[320] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีเต่าตัวหนึ่ง
เที่ยวหากินอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยแห่งหนึ่งในเวลาเย็น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง
ก็ได้เที่ยวหากิน อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยแห่งหนึ่งในเวลาเย็น เต่าได้แลเห็น
สุนัขจิ้งจอกซึ่งเที่ยวหากินอยู่แต่ไกลแล้ว ก็หดอวัยวะ 5 ทั้งหัว ( หดขาทั้ง 4
มีคอเป็นที่ 5 ) เข้าอยู่ในกระดองของตนเสีย มีความขวนขวายน้อย นิ่งอยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกก็ได้แลเห็นเต่าซึ่งเที่ยวหากินอยู่แต่
ไกลแล้ว เข้าไปหาเต่าถึงที่แล้ว ได้ยืนอยู่ใกล้เต่าด้วยคิดว่า เวลาใดเต่าตัวนี้
จักเหยียดคอหรือขาข้างใดข้างหนึ่งออกมา เวลานั้น เราจักงับมันฟาดแล้ว
กัดกินเสีย เวลาใด เต่าไม่เหยียดคอหรือขาข้างใดข้างหนึ่งออกมา เวลานั้น